วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วิธีเพิ่มกำลังจิต กำลังสติ (หลวงพ่อสำราญ ธัมมธุโร)

ปุจฉา: หลวงพ่อช่วยชี้แนะวิธีเพิ่ม
กำลังจิต เพิ่มกำลังสติ ด้วยครับ


หลวงพ่อกล้วย:
การเพิ่มกำลังให้จิต ถ้าพูดตามหลักธรรมแล้วก็คือ สมถะนั่นแหละ สร้างกำลังจิต หนุนกำลังสติ เข้าไปพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ถ้าเราไปพิจารณาได้เลย นอกจากจิตของเราจะสงบแล้ว ถึงสติปัญญาของเราพิจารณาได้ตลอดเวลา อันนี้กลายเป็นปัญญาพิจารณาได้ตลอดเวลา

ถ้าจิตยังเกิดอยู่เค้าเรียกว่าเราต้องดับ ต้องควบคุม แล้วแต่อุบายของแต่ละบุคคลว่า จะดับด้วยวิธีไหน ดับด้วยการกำหนด หรือสร้างความรู้สึกอยู่ที่การหายใจ หรือว่าสร้างความรู้สึกอยู่ที่การเดิน หรือจะใช้อุบายไปทำอย่างอื่น เราพยายามดับตั้งแต่ต้นเหตุ แล้วก็หนุนกำลังสติเข้าไปวิเคราะห์หาเหตุหาผล ถ้าเรายังไม่เห็นนะ

ถ้าเราเห็นอาการของจิต เราก็ต้องตามดูให้รู้เห็นตามความเป็นจริงเสียก่อน แล้วค่อยเอาสติปัญญาไปพิจารณา ให้จิตรับรู้ ทุกเรื่องเขาถึงจะยอมรับได้ ถ้าเราไม่สร้างสะสมกำลังจิต จิตเกิดส่งออกไปภายนอก จิตหวั่นไหว จิตผวา จิตเป็นทาสของอารมณ์ จิตเป็นทาสของกิเลส อันนี้เขาเรียกว่าจิตส่งออกไปภายนอกตลอดเวลา กำลังมันก็ไม่มี ถึงมันจะมีกำลังแต่มันก็ยังอาศัย อำนาจของกิเลสอยู่ ทิฐิของกิเลสอยู่

ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ จิตจะขาดพลังทันที เพราะว่ามันขาดเพื่อน เพื่อนเก่าคือตัวขันธ์ 5 หรือว่าทิฐิที่เกิดจากจิต จะขาดพลัง เหมือนกับว้าเหว่วังเวงเลยทีเดียว เราต้องเจริญสติเข้าไปเป็นเพื่อนของจิต ไปหมั่นพร่ำสอนจิตอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตจะเกิดส่งออกไปข้างนอกเราก็ ดับ จิตจะเกิดยินดียินร้าย จิตหวั่นไหว จิตผวา เราก็ดับ เราก็หยุด ดับ หยุด ให้เค้านิ่ง ให้เขารับรู้ เพราะว่าจิตเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้จิตของเรายังหลงอยู่ เราต้องคลายความหลงเสียก่อน แยกรูปแยกนามก็จะคลายความหลงออกจากใจของเรา แล้วก็สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้

ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอไปซักกี่เที่ยว ซักกี่ครั้ง เพียงแค่การเจริญสติเราก็ยังทำไม่ต่อเนื่อง เพราะความเคยชินเก่า ความคิดเก่า ปัญญาเก่า อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมุติแค่นั้นเอง เราต้องพยายามเจริญความรู้ตัวให้มากๆ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ อย่าไปเกียจคร้านตรงนี้ ถ้าสติหรือว่าความรู้สึกตัวของเรายังรู้ไม่เท่าทันจิตกับความคิด หรือว่าอาการของขันธ์ 5 แยกออกจากกัน กำลังสติความรู้สึกตัวของเราจะพลั้งเผลอ ถ้าเราแยกกันได้แล้ว ถ้าเราสังเกตจิตของเราคลายออกจากความคิดแล้ว กำลังสติของเราจะตามทำความเข้าใจ การเกิดการดับของขันธ์ 5 หรือว่า รู้อนิจจัง ทุขขัง อนัตตา ในขันธ์ 5 ทุกเรื่อง ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์พิจารณาตามดู กำลังสติก็จะมากขึ้น มากขึ้น จนยับยั้งไว้ไม่อยู่ จนกลายเป็นมหาสติ ถ้าเราไม่พิจารณาเค้าก็กลับคืน สู่สภาพเดิม มันก็มีไม่มาก ถ้าเราจะเอาจริงๆ มีไม่มาก แล้วก็ไม่ยากด้วย

แต่พวกเราทำให้ยาก เพราะว่าอยู่ภายในกาย ภายในใจ ของเรานี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหน เอาเรื่องนู้นมาปิดเอาไว้ เอาเรื่องนี้มาปิดเอาไว้ จิตมันก็ปกปิดของเขาเอาไว้อีก ขันธ์ 5 ก็มาปิดเอาไว้อีก นิวรณ์ก็มาปิดเอาไว้อีก กายเนื้อก็มาปิดเอาไว้อีก ภาระหน้าที่การงานภายนอกก็มาปิดเอาไว้อีก มันหลายชั้นหลายขั้นหลายตอน

อันนี้อยากจะให้ชี อธิบายเรื่องหัวหอมให้ฟังก็ดี เพราะว่าชอบปลอกหัวหอม ชอบเข้าครัว ปลอกไปปลอกมาก็เห็นจิตของตัวเอง มันมีหลายชั้นหลายขั้นหลายตอน เห็นจิตแล้วก็หลงดีใจอยู่อย่างนั้น เป็นปลื้ม จิตก็เกิดอยู่อย่างนั้น แต่มันไม่ยึด ทำยังไงเราถึงดับการเกิดเข้าไปอีก ไม่ต้องการให้จิตเกิดไปก่อภพ ก่อชาติอีก จิตเค้าได้ก่อในภพของมนุษย์เราจึงได้เกิดเป็นมนุษย์ เราก็ต้องทำความเข้าใจในจุดนี้ ถ้าคนเราจะรู้ความเป็นจริงแล้ว เราต้องขยันหมั่นเพียร ตั้งแต่เริ่มแรก เริ่มในการเจริญสติ มีศรัทธาน้อมกายเข้ามา น้อมใจเข้ามาในความเสียสละ ความอดทน มีความยินดีในการเสียสละ มีความพอใจในการฝึกฝนของตนเอง หมั่นฝักใฝ่ หมั่นสนใจ ถ้ารู้แล้วเห็นแล้วจะสนุก ฝึกเพื่อดู เพื่อรู้ เพื่อทำความเข้าใจ แล้วก็รู้ความจริงแล้วก็วางให้หมด มีไม่มากหรอก ถ้าคนเราจะเอา ฟังนิดเดียวไปเร่งทำความเพียรเอา


----------------------------------------------

พระธรรมคำสอนของหลวงพ่อสำราญ ธัมมธุโร (หลวงพ่อกล้วย)

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณมากคะ :)